ภาพเค้ก และเทียนวันเกิด จากนิตยสาร Boston Cooking School ฉบับ มีนาคม 1906 (ภาพจากเว็บไซต์ http://www.newenglandrecipes.org/html/birthday-cake.html)

วันเกิดทีไรต้องซื้อเค้ก ปักเทียนบนเค้กเท่าจำนวนอายุ จุดไฟ ร้องเพลงวันเกิดสักสองรอบ อธิษฐานในใจแล้วค่อยเป่าเทียน

การฉลองวันเกิดด้วยเค้กซึ่งเป็นของหวานที่ใคร ๆ ก็ชอบนี้ก็ดูมีเหตุมีผลดีอยู่บ้าง แต่ทำไมต้องปักเทียนทำลายหน้าเค้กสวย ๆ ให้เท่าจำนวนอายุ ต่อด้วยการพ่นแบคทีเรียด้วยการเป่าไฟให้ดับบนเค้กอีก! ธรรมเนียมนี้มันยังไง มีความเป็นมาอย่างไรกัน?

เรื่องธรรมเนียมการเป่าเทียนวันเกิดนี้ เป็นมาอย่างไรยังไม่มีหลักฐานบ่งบอกที่ชัดเจน มีแต่คำอธิบายที่น่าจะเป็นไปได้ ดังนี้

จุดเทียน
ธรรมเนียมการปักเทียนบนเค้กนั้นเชื่อกันว่า มีต้นกำเนิดมาจากการที่ชาวกรีกโบราณนำเค้กที่ตกแต่งด้วยการปักเทียนไปบูชาเทพีอาร์ทีมิส (Artemis) หรือเทพีแห่งดวงจันทร์และการล่าสัตว์ ที่วิหารอาร์ทีมิส พร้อมทั้งจุดเทียนบนเค้กให้สว่างไสว ให้เหมือนกับแสงสว่างจากดวงจันทร์ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของเทพีอาร์ทีมิสนั่นเอง

ปักเทียนให้เท่าอายุ

เคานท์ ลุดวิจ ฟอน ซินเซนดอร์ฟ (ภาพจากเว็บไซต์ https://www.britannica.com/biography/Nikolaus-Ludwig-Graf-von-Zinzendorf)
สำหรับจุดเริ่มต้นของการปักเทียนในจำนวนเท่ากับอายุของเจ้าของวันเกิดนั้นคาดว่ามีจุดเริ่มต้นมาจากชาวเยอรมัน โดยใน ค.ศ.1746 ท่านเคานท์ ลุดวิจ ฟอน ซินเซนดอร์ฟ (Count Ludwig Von Zinzendorf) ได้จัดงานเลี้ยงฉลองวันเกิดที่หรูหรา ยิ่งใหญ่ ใหญ่ชนิดที่เรียกว่าเป็นงานเทศกาลเลยก็ได้ และแน่นอนว่าในงานนี้ก็ย่อมมีขนมเค้กฉลองวันเกิดก้อนโต โตที่สุดเท่าที่จะหาเตามาอบได้ ซึ่งเค้กก้อนนี้นี่เองที่พบว่ามีการปักเทียนจำนวนเท่ากับอายุของเจ้าของวันเกิดเป็นครั้งแรก และถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นของธรรมเนียมการปักเทียนวันเกิดให้เท่ากับอายุ

เป่าเทียน
ทำไมปักเทียน จุดเทียน อธิษฐาน แล้วต้องเป่าเทียน?
การเป่าเทียนวันเกิดมีจุดเริ่มต้นมาจากความเชื่อเกี่ยวกับ “ควัน”

พบว่าในหลายวัฒนธรรมเก่าแก่ มีความเชื่อว่าควันเป็นสิ่งที่นำพาผู้อธิษฐานไปยังสรวงสวรรค์ ดังนั้นแล้วการเป่าเทียนจึงเหมือนเป็นการเรียกควันให้พาคำอธิษฐานหรือเจ้าของวันเกิดไปถึงยังสวรรค์นั่นเอง

เคานท์ ลุดวิจ ฟอน ซินเซนดอร์ฟ (ภาพจากเว็บไซต์ https://www.britannica.com/biography/Nikolaus-Ludwig-Graf-von-Zinzendorf)

ขอบคุณที่มา https://www.silpa-mag.com/history/article_19844